Pages

Friday 2 February 2018

[WZD] The Father


Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของคอมมู Wizardry Academy

คำเตือน: Pedophilia, ใบ้ถึง incest



_




The Father

ลอร์เรลล์ แหล่งศูนย์กลางกามาของคอร์นิเลียส แม่ของวาซิลิออส บ้างอาจเรียกมันว่ารักแรกพบ—หากคอร์นิเลียสอนุญาตให้ตัวเองเชื่อว่าตัวเองมีความรักได้ หรือหากนั่นคือนิยามที่ถูกต้อง ด้วยเขาได้กลิ่นเธอก่อนที่เขาจะทันได้เห็นเธอเสียอีก ความสามารถในการรับรู้กลิ่นคือสิ่งที่เขามั่นใจ—ความสามารถที่เหนือกว่าบุตรของเขา และเหนือกว่าอินคิวบัสอื่นในตระกูล เพราะตั้งแต่จำความได้เขาก็ใฝ่เรียนรู้กลิ่นมากกว่ารูปลักษณ์อวัยวะส่วนอื่น (พ่อของคอร์นิเลียสเองเคยพูดว่าตัวคอร์นิเลียสที่มองคนแยกเป็นอวัยวะทีละส่วน ๆ แทนที่จะเป็นตัวตนของบุคคลโดยรวมนั้นออกจะมีแนวโน้มที่จะไร้ความเห็นอกเห็นใจกว่าปกติแม้แต่กับอินคิวบัสด้วยกันเอง เขาคิดว่ามันอาจจะจริง แต่ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ) ไม่ใช่ว่าปิศาจแฝงฝันตนอื่นในตระกูลทื่อด้านในการรับรู้กลิ่นของกามาแต่อย่างใด แต่คอร์นิเลียสมักจะเข้าใจกลิ่นที่คนอื่นไม่ใส่ใจเป็นพิเศษ

กลิ่นของเด็ก ไม่ใช่วัยทารก แต่เป็นราว ๆ ที่เขาชอบ กลิ่นของเด็กน้อยวัย 10 – 12 ขวบ

ไม่ใช่ว่าลอร์เรลล์เป็นเด็กเมื่อเขาหันไปมองเธอเป็นครั้งแรก รูปร่างของเธอดูเก้งก้างแบบหญิงสาว แต่กลิ่นของเธอไม่ใช่ ตั้งแต่เส้นผมสีทองยาวสลวยของเธอ ลงมาที่ลำคอระหง ไล่มาถึงทรวงอกที่ยังไม่โตเต็มที่ ไปถึงอวัยวะเพศก็ตาม เขานึกอยากบีบคอเธอให้สิ้นใจเพื่อมาสำรวจกลิ่นเพียงอย่างเดียว—แต่ไม่ได้ ไม่ควร ไม่ใช่ก่อนที่เขาจะได้กินเธอ และต่อให้พูดว่ากินเธอในความหมายของอินคิวบัส เขาก็อยากกินเธอจริง ๆ ในอีกความหมายหนึ่ง—แยกส่วน สับและบด ต้มและปรุงรส—เขาพลันดึงตัวเองออกมาจากความคิดเหล่านั้น ขณะคาดเดารูปร่างเบื้องใต้เสื้อผ้าที่เรียบง่ายและติดจะเก่าของเธอ หน้าอกของเธอน่าจะเป็นของเด็กสาวอายุราว ๆ สิบหกปีได้ ฉะนั้นเขาควรจะกินเธอภายในสองปีนี้ ด้วยไม่รู้ว่ากลิ่นของเธอจะเปลี่ยนไปแค่ไหนเมื่อกลายเป็นสาวเต็มตัว

“ต้องการดอกไม้ไหมคะท่าน” เธอถาม ขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย—กระโปรงของเธอยาวปิดเข่าแต่เผยให้เห็นข้อเท้า เพียงพอที่จะทำให้เลือดของคอร์นิเลียสรู้สึกร้อน ข้างหน้ามีตะกร้าที่เต็มไปด้วยเข็มกลัดดอกไม้ปลอมทำมือสำหรับติดบนปกเสื้อสูท เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ปกติจะมีหญิงวัยกลางคนคนอื่นมานั่งขายอยู่ คอร์นิเลียสแย้มยิ้มให้เธอเฉกเช่นที่เขาจะทำกับทุกคน เขาต้องใช้พลังใจทั้งหมดหักห้ามตัวเองไว้ไม่ให้ใช้พลังอินคิวบัสอย่างรุนแรงกับเธอเสียที่ตรงนั้น เดี๋ยวนั้น ใช่แล้ว บางทีเขาอาจรู้ตัวว่าเขาต้องการเธอเป็นแม่พันธุ์ของบุตรหรือบุตรีของเขาเมื่อแรกเห็นนั้นเอง

เขาได้ยินเสียงตัวเองถามเธอถึงสตรีที่มักจะเป็นคนขายประจำ ใบหน้าของเธอดูหมองลง เอ่ยถึงป้าของเธอที่ล้มป่วย เธอจึงมาช่วยงานแทน ในตอนนั้นเองที่สมองเขาเพิ่งเริ่มประมวลผลลักษณะบุคลิกต่าง ๆ ของเธอ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ใบหน้ามนดูอ่อนโยนว่าง่าย คิ้วบาง บางปาก เธอเป็นสาวที่มีใบหน้ากลมเล็ก—สมบูรณ์แบบ สตรีที่อยู่ในวัยตั้งครรภ์หากแต่รูปลักษณ์และอากัปกิริยาราวเด็กน้อย ชวนให้ใจเต้นรัว

คอร์นิเลียสฉีกยิ้มกว้างขึ้น เลื่อนมือยื่นเงินไปเพื่อซื้อเข็มกลัดดอกไม้ โดยรบกวนขอให้เธอช่วยติดดอกไม้ให้ ช่วงเวลานั้นเองที่เขาใช้พลังเย้ายวนเธอ มากพอที่จะทำให้เธอตกใจ แต่น้อยเกินกว่าที่เธอจะนึกระแวงเขาในฐานะมอนสเตอร์ เธอมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อพลังของเขาดี เขาตระหนักได้ทันทีว่าเธอเป็นคนชนเผ่าไหน – มนุษย์ เหยื่อที่เขาชอบที่สุด ชั่วอึดใจหนึ่งพวกเขาสบตา คอร์นิเลียสมองว่ามันเพียงชั่วลมหายใจที่แสนหวานซึ้ง แม้ว่าในใจเขากำลังพาดนึกไปถึงคุณป้าของเธอ ระหว่างที่เขาเอ่ยถามชื่อของเธอ ลอร์เรลล์ เธอบอกเขา ลอร์เรลล์ เขาคิดคำนึง เป็นชื่อที่ดี ฟังดูกลมกลึงอยู่บนลิ้น

ลอร์เรลล์ เขาว่า ก่อนจะเอ่ยชวนเธอไปทานข้าวด้วยกัน

ลอร์เรลล์ เขาคิด เขาจะสังวาสกับป้าของเธอในฝัน จนกว่าเธอผู้นั้นจะตาย จะไม่มีใครผิดสังเกต ยังไงคุณป้าของเธอก็ล้มป่วยอยู่แล้ว และในท้ายที่สุด ลอร์เรลล์จะเป็นของเขา

_

หนึ่งปีหลังจากนั้น วาซิลิออสก็เกิดมา ลอร์เรลล์เป็นคนตั้งชื่อให้ เป็นชื่อที่ดูยิ่งใหญ่ไม่สมกับมาจากตัวเธอ แต่ในตอนนั้นคอร์นิเลียสก็รู้จักเธอเพียงพอ หญิงสาวผู้มีเงินในกระเป๋าไม่มาก แต่ใช้เงินเก็บของเธอทั้งหมดไปกับหนังสือ ทารกคนนี้ก็ได้รับชื่อองอาจที่เธอจำมาจากหนังสือสักเล่ม เขามองดูเธอให้นมเด็กทารกเกิดใหม่ที่เขาเองยังไม่ทันได้อุ้มสักครั้ง ดูดนมเธอราวกับหิวโหย ผิวสีชมพูและมีกลิ่นสุขภาพดีเหมือนเด็กทารกทั่วไป แต่คอร์นิเลียสรู้ว่านั่นจะไม่เพียงพอ ไม่ใช่ในอีกหลายปีข้างหน้าหรืออาจเร็วกว่านั้น ไม่ใช่ในตระกูลพวกเขา ในเมื่อทารกคนนี้เกิดมาพร้อมกับหางยาว อินคิวบัส มิใช่มนุษย์ วาซิลิออสไม่ได้รูปลักษณ์ของทั้งคอร์นิเลียสและลอร์เรลล์ แต่สีตาและรูปทรงกะโหลกกลับได้มาจากคุณแม่ของคอร์นิเลียสที่เป็นเอลฟ์ป่า ทว่านั่นกลับไม่ได้ทำให้คอร์นิเลียสรู้สึกเกร็งแต่อย่างใด ทั้งที่เขาเองไม่ได้ถูกกับแม่ของตนนัก เธอหยิ่งเกินไป โอหังเกินไป เข้มงวดเกินไป

ความรู้สึกบางอย่างกลับหมุนกลไกแปลกใหม่ในอก ราวกับคอร์นิเลียสตกหลุมรักลอร์เรลล์อีกครั้ง ในรูปแบบใหม่ และอาจจะรักเด็กในอ้อมอกของเธอด้วย น่าจะเป็นปัญหา เขาคำนึง พลางเลื่อนมือไปจัดผมทัดหูลอร์เรลล์

เขาจะฆ่าเธออย่างหอมหวานให้เร็วที่สุด เพื่อตัดปัญหา

(ไม่ใช่ว่าเขาห้ามตัวเองได้อยู่ดี ความหิวที่มีต่อลอร์เรลล์นั้นเป็นประเภทที่ไม่อาจถูกกดเอาไว้ได้)

_

วาซิลิออสออกอาการของพลังอินคิวบัสค่อนข้างเร็ว ในวัยเพียงห้าขวบเท่านั้น คอร์นิเลียสสังเกตเป็นคนแรก – เขาจำกลิ่นได้ กลิ่นของอินคิวบัสที่ไม่ได้คุมพลังของตน—หรือเรียกให้ถูกคือยังคุมไม่เป็น แม้จะไม่รุนแรงตามประสาพลังของเด็ก

ลอร์เรลล์เองไม่ได้รู้สึกถึงจุดนี้ สัญชาตญาณความเป็นแม่ของเธอนั้นออกจะบริสุทธิ์ จนบางครั้งคอร์นิเลียสก็กังวลต่อสิ่งที่เธอสืบทอดให้ลูก ทั้งการกอดโอ๋และสัมผัสอ่อนโยน ล้วนเต็มไปด้วยความอบอุ่นในแบบที่อินคิวบัสส่วนใหญ่ไม่ได้รับ ภาพอันนุ่มนวลที่กระทั่งเขาก็ใจอ่อนยอมปล่อยผ่านไป แม้จะคิดว่าคงไม่เป็นผลดีสักเท่าไรนัก—บุตรของเขาไม่ควรจะคิดว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติ แต่ในขณะเดียวกัน เศษเสี้ยวหนึ่งของเขาคงมีความอิจฉาลูกแบบเด็ก ๆ อยู่บ้าง อิจฉาที่ลูกได้รับความรักจากภรรยาของเขา อิจฉาลูกที่ได้รับความรักจากลอร์เรลล์ในแบบที่เขาเองไม่เคยได้รับจากแม่ของตน

คอร์นิเลียสไม่ได้พูดอะไรกับลอร์เรลล์ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เขาสัมผัสได้ แต่เขารู้ว่าเขาต้องเริ่มหาอาหารให้วาซิลิออสเร็ว ๆ นี้ ลูกเองก็เริ่มอ่อนแรงง่าย และเอ่ยปากขอให้อุ้มบ่อย อาการขาดอาหารจำเป็นเบื้องต้น แต่แล้วในวันหนึ่งคอร์นิเลียสก็จงใจเชิญชวนลอร์เรลล์และวาซิลิออสเข้าไปเดินเล่นในโบสถ์ที่มีประติมากรรมสวยงามแห่งหนึ่ง โดยมีเป้าหมายหนึ่งไว้ในใจ และเพียงไม่นานเป้าหมายนั้นก็เดินเข้ามาเอง บาทหลวงสีหน้าอ่อนโยนคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทาย มองลูกของเขาด้วยสายตาเอ็นดู ทว่ากลับมีกลิ่นกามารมณ์ซ่อนอยู่

คอร์นิเลียสมองพวกเดียวกันออกแทบจะในทันที

วันต่อมา เขาพาวาซิลิออสไปฝากไว้ให้บาทหลวงผู้นั้นดูแล

_

ทว่า วาซิลิออสเลี้ยงยากกว่าที่คอร์นิเลียสคาด คอร์นิเลียสจำการร่วมเพศครั้งแรกของตัวเองได้ – ปกติแล้วมันไม่ใช่เรื่องยากในตระกูล พวกเขาเพียงแต่กินและยอมรับในสิ่งที่เป็น ทุกอย่างก็อร่อยดี ไม่ควรจะรู้สึกรู้สาอะไรมากไปกว่านั้น ทว่าวาซิลิออสกลับมาบ้านด้วยท่าทีที่เงียบผิดปกติ และเริ่มปิดกั้นตัวเอง ไม่แม้แต่จะยอมเล่นกับลอร์เรลล์ คอร์นิเลียสโน้มน้าวให้ลอร์เรลล์ออกไปซื้อของข้างนอก แล้วเข้าไปคุยกับวาซิลิออส

ในทีแรกเขาไม่ยอมบอกว่าเกิดอะไรขึ้นที่โบสถ์ แต่คอร์นิเลียสรู้วิธีถามเป็นเชิงชักนำเพียงพอ เค้นความจริงจนรู้จนได้ – แทบเป็นไปไม่ได้ที่บาทหลวงคนนั้นจะไม่ทำอะไรสักอย่าง แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงนั้นคือลูกของเขาจะร้องไห้ออกมา ไม่ใช่แค่ร้องธรรมดา แต่ร้องโฮราวกับจะไม่มีวันพรุ่งนี้ คอร์นิเลียสอุ้มวาซิลิออสมาปลอบกล่อม “ถึงเจ้ากลัวก็ไม่เป็นไร” เขากระซิบ “ความกลัวไม่จำเป็นต้องแย่เสมอไป พ่อจะทำให้ทุกอย่างดีเอง... พ่ออยู่ตรงนี้ พ่อจะทำให้ทุกอย่างเรียบร้อยเอง”

คอร์นิเลียสใช้นิ้วโป้งปาดน้ำตาบุตรตัวน้อย วาซิลิออสสะอื้นฮัก แต่ลมหายใจค่อย ๆ เริ่มสงบลง คอร์นิเลียสเลื่อนนิ้วชี้ไปแตะที่กลางริมฝีปากวาซิลิออส พลางว่า “พ่อจะสอนทุกอย่างที่จำเป็นเอง” ร่างกายเป็นเรื่องพื้นฐาน สัญชาตญาณทางเพศเองก็เป็นเรื่องพื้นฐาน—แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะชื่นชอบ แต่สำหรับอินคิวบัสนั้นคอร์นิเลียสมองว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้ ความกลัวเริ่มเข้ากัดกินสมองของเขา แต่อย่างน้อยที่สุดก็ยากที่อินคิวบัสจะเป็น asexual  ต้องไม่ใช่ลูกของเขา เขาจะจัดการทุกอย่างให้ดี เขาจะคอยดูให้แน่ใจ คอร์นิเลียสพูดเสียงต่ำลงว่า “แค่สัญญาว่านี่จะเป็นความลับของเราสองคน ตกลงไหม”

“กับ... คุณแม่ก็บอกไม่ได้หรือครับ”

คอร์นิเลียสส่งเสียงชู่ว “แม้แต่กับคุณแม่ก็ห้ามบอก”



The End.

Sunday 13 March 2016

[RDU Drabble] 400 ft

Notes:
- Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของคอมมู Rabbit Doubt
- มีสะกดผิดหรือติดขัดทักได้นะคะ
- อ้างอิงโรลนี้ (ตอนเป็นวิญญาณ หลังตายไปนานมากแล้ว...)



_



400 ft



นานมากแล้วที่ไม่ต้องคิดถึงเรื่องการกิน

เมื่ออยู่บนชิงช้าสวรรค์ลอนดอนอาย มันสูงกว่าที่เขาเคยนึกภาพไว้เสียอีก นี่เองสินะ 400 ฟุตที่ ฮานส์พูดถึง (บางครั้งเขาก็ยังคงเป็นจอห์นสันอยู่ในหัวของวิลเฟรด แต่... เขาเป็นฮานส์มากกว่า ตั้งแต่ตอนที่มาเยี่ยมศพของวิลเฟรดและแนะนำชื่อจริงของตัวเองนั่น) ในที่สุดก็ได้ขึ้นชิงช้าสวรรค์สักที คงไม่บอกว่ามันเป็นทุกอย่างที่เคยวาดฝันไว้ เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยวาดฝันไว้มาก่อนเลย

ไม่เคยได้เล่นชิงช้าสวรรค์ตอนมีชีวิตอยู่

พอถึงตอนนี้ มันก็ไม่มีความหวาดเสียว ไม่มีการมองจากที่สูงแล้วรู้สึกอยากกระโดดลงไปในรูปแบบเดิม

ที่ชวนฮานส์คุยไปเรื่อย ๆ นั้นเพราะว่าเมื่อได้ยินเสียงอีกฝ่ายแล้ว เขารู้สึกใจเย็นลง เป็นเพียงความรู้สึกอุ่น ๆ ทั้งที่ไม่มีร่างกายให้สัมผัสอุณหภูมิ ได้อยู่กับคนที่เขามองว่าเป็นเพื่อน ได้คุยกันเรื่องงานอดิเรก – ถ่ายรูป ในกรณีของฮานส์

ที่จริง... ไม่อยากเป็นคนเลือกสถานที่ไปเที่ยวหรอก ลึกลงไปวิลเฟรดคิดแบบนั้น เขาไม่มีร่างกายอีกแล้ว ความจริงแล้วจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ ไปผับที่ฮานส์เคยไปก็ยังได้ ไปที่คนเยอะ ๆ ก็ได้

ไม่กลัวแล้วล่ะมั้ง

นี่

มาเที่ยวแบบเด็ก ๆ แบบนี้ไม่เป็นไรจริง ๆ น่ะเหรอ

อุตส่าห์มีเพื่อนอีกครั้งแล้ว




The End.

Sunday 23 August 2015

[RD] Rewind (2)

Notes:
- Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของคอมมู Rabbit Doubt
- มีสะกดผิดหรือติดขัดทักได้นะคะ
Prequel:
Rewind (1)
Other related works:
- Backstories: Wil-fred / Sand dollar / Control
- In-game: On His Deathbed






Rewind
(2)



ฉันตาย ด้วยมีดพร้า
_

จอห์นสันผิวปากเดินเข้ามาหา แล้วว่า “เป็นไงบ้าง ผลโหวตคืนนี้... 29 ไม่รอดจริง ๆ ด้วยแฮะ”

“อา ดีแล้ว ฉันว่าตอนนี้ใครเป็นหมอก็คงไม่มาช่วยเธอแหละนะ”—คล้ายว่าจังหวะนั้นฉันจะเผลอกระตุกยิ้มด้วย—แต่เขาก็ยังจ้องท่าทีของฉัน ไม่พูดอะไร ฉันจึงเอ่ยต่อ “อา แต่ในวันนี้นายคือคนที่โหวตฉันนี่นา ในที่สุดก็มีโอกาสถามแล้ว”—ฉันเคยบอกเขาว่า ฉันอยากรู้ว่าใครก็ตามที่โหวตฉันโหวตไปเพราะอะไร—“เพราะอะไรกันล่ะ”

เขามองฉันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ “ให้ตายเถอะ กวนคนที่ตรง ๆ นี่มันไม่สนุกจริง ๆ ด้วยแฮะ ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ ฉันคิดว่ายังไงผลก็เอกฉันท์อยู่แล้วเลยไม่โหวตก็ได้... แล้วฉันอยากรู้ว่านายจะทำท่ายังไงถ้าเห็นว่าฉันโหวตนาย แต่มันไม่น่าสนุกจริง ๆ ด้วยแฮะ” เขาว่าพลางเท้าคาง

ฉันกะพริบตาปริบ ก่อนจะหลุดเสียงที่ฟังดูคล้ายจะเกือบ ๆ จะหัวเราะ “อะไรกัน นายยอมโชว์โหวตออกสื่อเพื่อกวนใครบ้างคนอย่างนั้นรึ”

—จะว่าไปแล้ว ช่วงเวลาที่ได้คุยกับจอห์นสัน ได้หัวเราะไปครั้งหนึ่งเมื่อตอนนั้น

“นายไม่เข้าใจหรอก! เพราะไม่ออกสื่อต่างหากมันถึงได้ไม่มันส์ ในขณะที่คนอื่นอาจจะคิดว่า อ่ะ ไอหมอนี่เกลียดวิลเฟรดสินะแต่จริง ๆ แล้วฉันแค่อยากเห็นใครซักคนมาโมโหในเรื่องไร้สาระ ๆ ก็เท่านั้น”

ความรู้สึกอยากแบบนั้น มันอยู่ที่ไหนกันนะ

บางทีถ้าฉันมีเพื่อนที่สามารถคุยตัวต่อตัวและออกไป... เที่ยว... หรือสนุกด้วยกันได้ คนคนนั้นอาจเป็นแบบจอห์นสัน คนที่จะทำอะไรบ้าบอ เพียงเพื่ออยากเห็นใครโมโหเรื่องไร้สาระ คนที่จะทำให้ฉันรู้ว่าการหัวเราะเป็นเรื่องปกติ

_

นี่ครั้งที่สามแล้วนะที่นายให้ของฉันเนี่ย...จอห์นสันกล่าว

เขามักจะแสดงท่าทีเหมือนไม่ไยดีคนอื่น แต่มันเหมือนกับว่าเขาแปลกใจทุกครั้งที่ฉันให้อะไรกับเขา คนที่ไม่ไยดีคนอื่นจริง ๆ เขาทำแบบนี้รึ ใส่ใจในสิ่งที่ได้รับ และแสดงท่าทีคล้ายอยากจะตอบแทนอะไรสักอย่าง ทั้งที่ในสองครั้งแรก—ทูน่า 1 กระป๋องกับขนมปัง 1 แพ็ค—ฉันก็กะจะให้เขาแต่แรกแล้ว ทั้งที่ความจริงน่าจะให้อะไรที่มีสารอาหารหลากหลายหน่อย... เช่น กล้วย... กับเคลเองก็เหมือนกัน ฉันรู้เพียงแต่ฉันคว้าของโน่นนี่ออกมาจากห้องเสบียง แล้วตอนให้มันกับคนอื่นก็ไม่ได้จัดสรรมันตามสารอาหารเป็นพิเศษ

ครั้งที่สามก็เป็นเพียงกระดาษบันทึกข้อมูล ที่ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าจะมีประโยชน์แค่ไหน

_

ปกติแล้ว ฉันมีเพื่อนไม่มาก จะมีคนหนึ่งก็คือสมอลพีซ เพื่อนในอินเตอร์เน็ต ซึ่งฉันมาค้นพบที่มีตติ้งว่าเป็นศิลปินชื่อดังคนหนึ่ง... Mosaics เป็นศิลปะแนวที่ฉันชอบ โดยเฉพาะเมื่อดูคู่กับประวัติศาสตร์ของกรีกและโรมัน แต่เป็นแขนงที่ฉันไม่เคยลองแตะ อันที่จริง นอกจากสีน้ำมันแล้ว ฉันก็ไม่ทันฝึกฝนตัวเองให้เชี่ยวชาญด้านอื่นสักเท่าไร ช่วงเวลาในชีวิตของฉันเสียไปกับ ED อยู่ไม่น้อย แม้กระทั่งเมื่อถึงเวลาที่ฉันเหนื่อยตลอดเวลาและแทบไม่มีสมาธิ ฉันก็จะเดินไปเรื่อย ๆ ให้ทั่วบ้านตลอดช่วงครึ่งวัน—หรือเท่าที่ไหว เพียงเพื่อจะเผาผลาญแคลอรี

สมอลพีซเป็นชื่อที่ฉันชอบมาตั้งแต่แรก คงเพราะฉันชอบชิ้นส่วนเล็ก ๆ... สิ่งสวยงามในสายตาของฉันมักจะอยู่ในสิ่งที่เล็กและเปราะบาง จะว่าไปแล้ว ถ้าฉันจะเอ่ยถึงเขากับใคร ฉันก็จะพูดว่าเขาเป็นหนึ่งในเพื่อนของฉัน แต่อันที่จริง เขาก็เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่ฉันเลือกชวนมาทดสอบความกล้าด้วยกัน ฉันตั้งใจจะออกจากบ้าน มาทดสอบความกล้า เป็นการทำอะไรแปลกใหม่สำหรับคริสต์มาส มีคริสต์มาสส่วนตัวของฉัน ก่อนที่จะไปตายเงียบ ๆ  ฉันคิดไว้แล้วด้วยว่าจะเป็นอพาตเมนต์ไหนในเมือง ฉันว่าจะทำเอ้กน็อกให้ตัวเองสักแก้ว ฉันชอบทำอาหารเอง... ที่อพาตเมนต์นั่นจะได้รับการทำความสะอาดจนน่าใจหาย

แต่ฉันก็ไม่ได้ไป ฉันไปติดอยู่ในเกมหนึ่ง ซึ่ง... ในท้ายที่สุดแล้ว เป็นที่ที่เหมาะแก่การจากไปของฉันยิ่งกว่าที่ไหน – อาหารที่วางจัดไว้เป็นสัดส่วนชัดเจน... อยู่ในที่ที่มันควรจะอยู่ ที่ที่ทุกคนคิดเรื่องอื่นมากมายเกินกว่าที่จะถามว่าวันนี้ฉันกินอะไรรึยัง ที่ที่ฉันได้ทำอะไรสุดโต่งจนลืมความเบื่อหน่าย ที่ที่ฉันได้พบกับใครคนหนึ่งที่คล้ายกับฉันเสียเหลือเกิน – เคล คนที่ฉันขอให้เขาฆ่าฉันอย่างเห็นแก่ตัว เพราะฉันรู้ดีว่าฉันจะไม่ใช่คนเก็บกวาดแก้วที่แตกเมื่อตัวเองจากไป ฉันรู้มาตั้งแต่ตัดสินใจที่จะตาย แต่อย่างน้อย ถ้าเคลพร้อมจะลงมือ ฉันจะได้ไม่ต้องตายคนเดียว

ฉันขี้ขลาดแบบนั้น มาแต่แรก

_

ในวันที่อัลดีไฮด์แขวนคอ ฉันไปดู ส่วนหนึ่งอาจเพราะอยากดูให้แน่ใจว่าเธอจะถูกแขวนโดยไม่ร่ำไร อีกส่วนหนึ่ง คงเพราะฉันคาดเดาเอาไว้ว่าวันนี้ฉันจะตาย... สักที... จะไปดูก็ไม่เสียหาย แล้วฉันก็เจอวาเลนที่นั่น คนที่พูดว่าโกรธก่อนจะหัวเราะออกมานั่น เขาบอกว่าอัลดีไฮด์ฝากฝังอะไรสักอย่าง แต่เขาจำไม่ได้... หรือก็คือแกล้งลืม—เห็นเขาว่าอย่างนั้น ตอนนั้นฉันก็เพียงแต่คิดว่าฝากอะไรเขาสักอย่างก็คงจะไม่เป็นไร หากเขาแกล้งลืมได้ มันก็อาจไม่เป็นภาระกับเขามากนัก

ถ้าฉันตายก่อน ช่วยดูไม่ให้ศพของฉันออกไปให้โลกภายนอกหาได้... เท่าที่สามารถทำได้

ถ้าฉันไม่ตายก่อน มันก็หมายความว่า เขาจะตายก่อน ซึ่งหากเป็นแบบนั้น ฉันไม่แน่ใจว่าฉันจะคิดยังไง อาจจะเสียดาย อย่างน้อยคงเสียดายสมองของเขา (His brain is as bright as his hair.) ฉันไม่เคยบอกจอห์นสันให้ช่วยดูวาเลนไม่ให้เป็นอันตราย เพราะนั่นก็คงเสียมารยาทกับสิ่งที่เขาเคยฝากไว้ น่าจะเป็นเหตุผลเดียวกับที่ฉันไม่เคยบอกกับเขาว่า ฉันไม่อยากฆ่าเขา แม้จะแน่ใจว่า หากเวลามาถึง ฉันจะทำได้อย่างแน่นอน แต่หากเวลานั้นมาถึงจริง ๆ  ฉันจะเดินไปหาเคล แล้วให้เขาประสบสิ่งเดียวที่ฉันอาจจะประสบตอนฆ่าวาเลนอย่างนั้นหรือ

อย่างนั้นสินะ

_

ว่าด้วยวาเลน

พวกเราเจอกันครั้งแรกเมื่อตอนมีตติ้ง แต่ในเวลานั้นมีทั้งเอลี่และสมอลพีซ จนแทบไม่ได้ให้ความสนใจกับคนอื่น ๆ ที่เงียบจนน่าประหลาดใจ วาเลนมักจะเล่นมือถือระหว่างมีตติ้ง ฉันจึงรู้สึกเหมือนได้คุยกับเขาครั้งแรกก็เมื่อตอนที่เกมเริ่มขึ้นแล้ว

ผมสีแดง... สำเนียงเดียวกัน

(His hair is as bright as the sun.)

_

มันก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อนานมาแล้ว นานกว่าที่ฉันจำได้... ที่ดินของแม่ – ที่ไร่สตรอเบอร์รี่ มีคนพูดถึงลุงแก่ที่ไม่มีใครรัก เพราะแกอ้วนและเอาแต่กิน—ดื่มเหล้าด้วย เป็นสิ่งที่ส่งเสริมให้ลุงลงพุง แล้วก็บทสนทนาเล็ก ๆ กับพี่สาว เธอพูดถึงเพลโต เกรี้ยวกราดกับมุมมองของเขาที่มีต่อสตรีเพศ—แม้เธอจะพอเข้าใจได้จากการที่เขาเป็นคนของยุคสมัยนั้น ฉันหยิบหนังสือของพี่มาอ่านส่วนหนึ่ง มีจุดหนึ่งที่น่าฉงนสงสัย เพลโตกล่าวไว้ว่า ความรักก็สามารถเป็นเรื่องของทางกายด้วย และความรักก็สามารถเป็นเรื่องของจิตวิญญาณด้วย แต่เพลโตอ้างอิงถึงร่างกายอันสวยงามของเด็กผู้ชาย – มาตรฐานของความสวยงาม ตัวอย่างของความสมบูรณ์แบบ

“แล้วนี่นายจะกินสตรอเบอร์รี่ทั้งโหลนั่นเลยเหรอ” พี่ถาม

ฉันก้มมองขวดโหลสตรอเบอร์รี่ที่ถืออยู่ คุณป้ารีเบคก้าที่ไร้สตรอเบอร์รี่เด็ดก้านมันออกแล้วใส่ให้ “ป้ารีเบคก้าบอกว่าถ้าไม่รีบกินเดี๋ยวมันจะเสีย”

—หลายปีต่อมาฉันได้พบเพื่อนหญิงในวัยเด็กของฉันครั้งสุดท้ายที่ทุ่งสตรอเบอร์รี่นั่น

แล้วเพียงไม่กี่ปีหลังจากนั้น ฉันมีกฎเหล็กอยู่ข้อหนึ่ง: ห้ามกินอะไรก็ตามจากขวดโหล เพราะนายจะเห็นปริมาณที่นายกินไม่ได้ชัดเจน

ฉันไม่ได้พยายามจะสื่อว่าทั้งหมดที่ว่ามานั้นเชื่อมโยงกัน ฉันเพียงแต่คิดว่า ฉันคิดถึงช่วงเวลาที่สามารถกินสตรอเบอร์รี่ทั้งหมดจากขวดโหลนั่น โดยไม่—

แต่มันสำคัญตรงไหน

_


เคล ถ้าเป็นนาย จะพูดอะไรกับฉันก่อนฉันจะไป



The End.

Friday 14 August 2015

[RD] Control

Notes:
- Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของคอมมู Rabbit Doubt
- เป็นส่วนหนึ่งของ backstories
Other related works:
Backstories: Wil-fred / Sand dollar 
In-game: On His Deathbed / Rewind






Control
3.


The hunger intensified – it kept his head above the water. There was no going back, surely. Once you correlated being thin with perfection, and chose perfection over happiness… there was hardly a proper way to go back. He stopped being scared for others, for himself, for them, for us – if people would like to pretend that such things exist. It would’ve been nice to know that you care, they said. The thing is I don’t know if I do, he replied. That was only a partial of the truth. He believed he felt it – caring, that is. He just lost track of expressing it, somewhere.

It is a universal truth that nobody loves a bad child. At least in a child’s—or a teenager’s—distorted perspective, it is universal. They always said that he has to be in control. Even when they didn’t say it out loud, there was a suggestive look that he should be. He wasn’t good the way he was, but he was considered as being good when he started to exercise more—when his effort could be seen physically.

Then, it came the day when his singing teacher mentioned how his vocal range had deteriorated. She noticed how thin he looked, and suggested that he should gain a bit of weight. Hell no. He knew, really, that his muscles had gotten weak. The diaphragm is a muscle system. The voice is… also a muscle.

“Your sister said you’ve been exercising quite a lot lately, ay?”

“Did she?” He asked, trying to play innocent.

 “Yeah, too much exercise can be—you know, never mind that. Just eat a bit more. Regain your energy, ay?”

“Er. Hmph. Actually, how do I put this…” He went on to say that his singing was distracting him from his studies…

He quit singing.

His sister asked him whether he was fine later that day. Of course, I’m fine, he said. He always said he was fine. He no longer cried nor smiled nor confused. He. Was. Fuckin’. In. Control.

Nobody was going to take that away, or so he thought.

He’d keep bits and pieces of himself in silence. He would be in control of his body, and therefore of his mind. He would always be fine, and good.

(Please don’t follow me when I’m gone.)



The end.

Friday 7 August 2015

[RD] Rewind

Notes:
- Entry นี้เป็นส่วนหนึ่งของคอมมู Rabbit Doubt
- อยากแปะเก็บไว้ที่นี่ ถ้ามีตอนต่อก็คงมาเก็บไว้ที่นี่เหมือนกัน
- มีสะกดผิดหรือติดขัดทักได้นะคะ orz
Other related works:






Rewind

(1)



ถ้าหากว่าไม่มีแรงกระตุ้น ฉันคงจะวางตัวคล้าย ๆ—หมายเลข 14 กับ 17

พวกหมาป่าเลือกจำกัดคุณศิลปะในคืนแรก (เอเดน) และคุณอิสรภาพ (อัสลี) กับคุณความกล้า (ลีอาร์) ในคืนที่สอง

มันก็เพียงพอที่จะเป็นแรงกระตุ้น เพราะว่าเริ่มน่าเบื่อเสียแล้วสิ

_

ถ้า... ไม่รอด

ต้นคริสต์มาสของสมอลพีซคงจะเสร็จ ฉันอาจจะได้ถามอัสลีว่าจริง ๆ แล้วการเป็นแบ็คแพ็คเกอร์นั้นเป็นยังไง ฉันอาจจะเพจเจอร์บอก GM ว่า ขอบคุณ สำหรับประสบการณ์ ฉันคงอวยพรให้เรียวกลับบ้านดี ๆ  ฉันคงถามจอห์นสันว่า เราเป็นเพื่อนกัน รึเปล่านะ  ฉันคงบอกเคลว่า ฉันอยากจะอยู่ต่อ  ฉันคงพูดกับวาเลนว่า กลับไอร์แลนด์ด้วยกันเถอะ

และหากพบกันอีก _____

ฉัน _____ นะ

ช่องว่างบางจุดก็เติมไม่ได้

_

ว่าด้วย... เรื่องเดิม ๆ

บางทีฉันอาจจะไม่ได้ขาดทั้งความมุ่งมั่นและแรงกระตุ้น สถิติคือหนึ่งในสี่ของ Anorexics ตายก่อนที่จะได้รับความช่วยเหลือได้ทันเวลา อาจพูดได้ว่าจากแง่มุมของ คนป่วยทางจิต—อย่างที่เขาเรียกกัน—ฉันล้มเหลว ฉันกินอาหารเพื่อให้คนในครอบครัวพอใจ อาหารไม่ต่างอะไรกับการทานยา ฉันสูญเสียความรื่นรมย์ในการทานอาหารไปแล้ว และใช้ชีวิตเหมือนกำลังเล่น Russian roulette  หลังจากที่เคยถูกส่งเข้าโรงพยาบาลมาครั้งหนึ่ง ฉันก็กลับบ้านทันทีที่แพทย์อนุญาต—ก่อนจะเกิดเหตุเสียน้ำตาหน้าเครื่องชั่งน้ำหนัก (11 กิโลฯ เชื่อรึเปล่า) แล้วเริ่มดำเนินการเสียน้ำหนักทั้งหมดที่เพิ่มขึ้นมาในทันที ไม่นานเสียไปเพิ่มยิ่งกว่านั้น (15 กิโลฯ) แต่พยายามคำนวณไม่ให้ต้องกลับไปอยู่ใต้หลังคาโรงพยาบาลอีก ฉันต้องระวังไม่ให้ตัวเองดื่มกาแฟมากเกินไปในช่วงเวลาที่ไม่ค่อยได้กินอาหาร (เอสเพรซโซ่ 1 oz มี 1 แคลอรี) เนื่องจากร่างกายอ่อนแรง และมีความเสี่ยงที่ชีพจรจะเต้นช้าเกินกว่าจะมีชีวิตอยู่ (ฉันเองก็กลัวตายสินะ) ฉันยอมรับที่จะเริ่มบำบัดโรคซึมเศร้า แต่ไม่ยอมรับการบำบัด ED  ถ้าจำไม่ผิดฉันเหมือนจะพูดกับคนในครอบครัวด้วยซ้ำว่า ฉันจะไม่ให้ใครแตะ ED ของฉัน ทำราวกับว่ามันกลายเป็นของของฉัน

แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งของฉันจริง ๆ  ทุกวันคือสงคราม ฉันจะควบคุม ED ได้ รึจะปล่อยให้มันควบคุมฉัน

_

กดปุ่มกรอเทปกลับ

“ท่าทางจะชอบงานศิลปะงั้นสินะครับ” วาเลนมีรอยยิ้ม “อืม เอาศพไปตรึงไว้กับผนังแบบคราวนี้จะเรียกว่าตกแต่งได้หรือเปล่านะ นี่ ผมฝากคุณฆ่าผมหน่อยได้หรือเปล่า

เหมือนว่าเขาเองก็หมดแรงกระตุ้นล่ะมั้ง ขี้เกียจ... ในแบบที่ฉันเองก็พอเข้าใจ ทั้งที่ท่ามกลางบุคลิกเฉื่อยชานั่น ความคิดของเขาดูเหมือนจะเคลื่อนไหว เชื่อมโยง แตกแขนงออกไปอย่างต่อเนื่อง การคุยกับเขาจึงเหมือนกับการเดินทาง แม้ว่าเราจะไม่ได้เคลื่อนไปไหน แต่ก็เหมือนได้กลับไปไอร์แลนด์ เขาเพียงแต่เขาไม่มีทีท่าว่าจะขายความคิดของเขาให้ใคร หรือบางทีอาจไม่คิดว่าจำเป็นที่จะต้องแบ่งปันในรูปแบบที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจ แต่เขาอ่านฉันได้อย่างทะลุปรุโปร่ง...ทุกส่วน—อย่างน้อยฉันก็คิดอย่างนั้น แต่ฉันก็ปล่อยให้มันเป็นไป

ฉันนึกภาพว่าฉันทำได้... ถ้าจะฆ่าเขา ฉันคงใช้มีดสวิส ฉันจะอยู่กับเขาจนกว่าทุกอย่างจะจบลง

ฉันเสนอที่จะฆ่าเขาวันนั้น – วันที่เขาฝากให้ฉันฆ่า แต่ดูเหมือนเขายังมีอะไรที่กะว่าจะทำ ฉันจึงตั้งใจว่าจะฆ่าเขา หลังจากผลโหวตวันพรุ่งนี้ออก

วันพรุ่งนี้ของฉันไม่ได้มาถึง

_

ฉันอยากจะ _____

_

ต่อให้เช็ดต้นคริสต์มาสโมเสคที่เปื้อนเขม่านั่น...

ว่าจะเอาหัวของนาโอะไปวางไว้ใต้ต้นคริสต์มาส แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ



To be continued?

Tuesday 26 May 2015

[Film/Book] Thoughts on "Confessions (Kokuhaku)"

คำเตือน:

- มี SPOILERS แต่ส่วนใหญ่ที่อ้างอิงลงรายละเอียดก็เพียงส่วนแรก ๆ ของเรื่อง
- เป็นรีวิวชิว ๆ มีอะไรติดขัดก็ทักได้ อย่างซีเรียสกันไป 55


เกริ่นนำ:

Confessions เป็นหนังสือเขียนโดยมินาโตะ คานาเอะ ได้รับการตีพิมพ์เมื่อปี 2008  นับเป็นหนังสือขายดีระดับนานาชาติ และได้รับการทำออกมาเป็นหนังซึ่งฉายออกโรงโรงในปี 2010  ทั้งตัวละครในหนังสือและวิธีการนำเสนอตัวละครเหล่านั้นในหนังก็มีฟีลเฉพาะของญี่ปุ่นเอามาก ๆ  คงเพราะสภาพแวดล้อมเป็นสังคมในญี่ปุ่นโดยตรงด้วย  Confessions นับว่าเป็นเรื่องที่จขบ.ประทับใจ แม้บางจุดในหนังอาจจะนำเสนอออกมาในลักษณะที่ชวนให้ฟีลดราม่า โดยที่พอพิจารณาดูก็ออกจะดูหลุด ๆ บ้าง และในหนังสือก็มีบางจุดที่คล้ายจะสื่อมาในเชิงสัญลักษณ์และพยายามทำให้มันสมเหตุสมผลไปพร้อม ๆ กันแต่ยังดูขาด ๆ เกิน ๆ อยู่บ้าง แต่โดยรวมก็นับว่าเรียบเรียงเนื้อเรื่องออกมาดี น่าประทับใจ

จขบ.มองว่าหนังต่างจากหนังสือไม่มากนัก แต่หนังพยายามจะทำให้เหตุการณ์ของตัวละครทุกตัวเชื่อมโยงกันมากขึ้น (ประมาณว่า อ้อ มันมาคลิกลงล็อคกันอย่างนี้เอง) ในขณะที่หนังสือจะปล่อยให้เหตุการณ์เกิดจากตัวตนของตัวละครอย่างเป็นไปธรรมชาติกว่า (แบบว่า เออ เจ้านี่จะทำแบบนี้ก็ไม่แปลก และเข้าใจว่าใส่เหตุการณ์นี้มาทำไม)

ทั้งนี้ ปกติจขบ.ไม่อินกับพล็อตที่มีแรงผลักเป็นการแก้แค้นเท่าไร (ประมาณว่าเข้าถึง แต่จากประสบการณ์และแนวคิดชีวิตส่วนตัวแล้วไม่อาจเข้าใจได้อย่างครอบคลุม ก็เลยไม่ค่อยอินนั่นเอง...) แต่ Confessions จะเรียกว่าเป็นข้อยกเว้นก็ได้ (หรืออาจเพราะปกติจขบ.ไม่อินกับพล็อตแก้แค้น เลยไม่ค่อยได้เปิดหูเปิดตากับแนวนี้จนไม่เจอพล็อตแก้แค้นดี ๆ ก็ไม่รู้)

Entry นี้จะเอ่ยถึงเนื้อเรื่องรวม ๆ ก่อนจะกล่าวถึงหนังและหนังสือ


เนื้อเรื่อง:

โมริกุจิ อาจารย์ประจำชั้นหญิงคนหนึ่ง พูดกับนักเรียนในชั้น (ที่ยังอยู่ในวัยราว ๆ สิบสามปี) ว่าวันนี้คือคลาสสุดท้ายของนางแล้ว เพราะนางกำลังจะลาออกจากการเป็นอาจารย์ ว่าแล้วก็เอ่ยถึงลูกสาว (มานามิ) ของนางที่จมน้ำตายในสระของโรงเรียน ตำรวจสรุปว่ามานามิเดี้ยงไปด้วยอุบัติเหตุ แต่โมริกุจิบอกว่าคนที่ฆ่าคือนักเรียนสองคนในชั้นของนางต่างหาก นางเอ่ยถึงเด็กสองคนนี้ว่าเด็กชาย A กับเด็กชาย B (แต่นางก็ดูไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังตัวตนของสองคนนี้เท่าไร เพราะประโยคแรก ๆ ที่นางเอ่ยถึงเด็กชายสองคนนี้... ก็เป็นคนที่ทุกคนในชั้นก็รู้ว่าใคร ฮา) เด็กชาย A เป็นเด็กท็อปของห้อง ส่วนเด็กชาย B ก็คนหัวไม่ดีคนหนึ่งที่ไปก่อปัญหาจนโดนลงโทษให้ขัดสระน้ำน่ะ แล้วนางก็เล่าว่าพวกเขาฆ่าลูกสาวของนางอย่างไร

แล้วนางก็บอกให้ทุกคนในชั้นรู้ด้วยว่า นมที่พวกเธอทุกคนดื่มหมดกันไปเมื่อครู่ ครูฉีดเลือดของแฟนเก่าที่เป็น HIV (aka. พ่อของมานามิ) ลงไปในกล่องนมของเด็กชาย A กับเด็กชาย B ล่ะ (ทั้งนี้นางก็บอกนะว่านางกับลูกของนางไม่ได้ติดเชื้อมาด้วยหรอก แถมบอกด้วยว่าเอดส์น่ะไม่ได้ติดกันง่าย ๆ /แต่ดูไม่มีใครเก็บส่วนนี้ไปเข้าหัวสักเท่าไร ออกจะเพิกเฉยต่อความเป็นจริงนี้ด้วยซ้ำ) นางทำไปเพราะกฎหมายคงไม่ลงโทษเด็กอายุสิบสามปีได้สะใจนางเพียงพอ--- /อะแฮ่ม

และแล้วเรื่องราวการแก้แค้นของอจ.สาวก็เริ่มต้นขึ้น...


Film vs. Book: Confessions (2010), directed by Tetsuya Nakashima + Confessions (2008), written by Kanae Minato


























"Weak people find even weaker people to be their victims. And the victimized often feel that they have only two choices: put up with the pain or end their suffering in death. But they're wrong. The world you live in is much bigger than that. If the place in which you find yourself is too painful, I say you should be free to seek another, less painful place of refuge. There is no shame in seeking a safe place."

- 'Confessions,' Kanae Minato


- จขบ.ตีความว่าหนังให้ความสำคัญกับไอเดียของปลาใหญ่กินปลาเล็ก ในแง่ที่ว่าการเหยียบคนที่อ่อนแอกว่านั้นทำให้เรารู้สึกว่าสามารถหายใจได้อย่างเต็มปอดมากขึ้น มันเป็นกลไกการป้องกันตัวสำหรับการเอาชีวิตรอดอย่างหนึ่ง หรือแม้แต่เป็นการตัดสินใจเพื่อความยุติธรรม หรือเพื่อสนองความต้องการตามธรรมชาติ ดูจากเด็กชาย A กับ B ที่ลงเอยเลือกเหยื่อเป็นลูกสาวของโมริกุจิที่อายุเพียงสี่ขวบ หรือนักเรียนในชั้นที่หันมารวมกลุ่มกลั่นแกล้งเด็กชาย A  หรือแม้แต่ฉากเล็ก ๆ อย่างเด็กคนหนึ่งที่ถูกแกล้งเจอผีเสื้อตัวเล็ก ๆ ก็จับมาขยี้

- ในหนังสือก็กล่าวถึงประเด็นนี้เหมือนกันนะ แต่จะเน้นธีมการหนี/ดิ้นรนไปสู่ "สถานที่ปลอดภัยส่วนตัว" มากกว่า เช่น เด็กชาย B ที่พอรู้เรื่องนมผสมเลือดก็เลือกจะอยู่บ้าน หรือตอนที่แม่ของเด็กชาย B เขียนในไดอารี่ถึงปัญหาที่ว่า การที่สังคมมีคำอย่างฮิคิโคโมริอยู่ ก็เหมือนเป็นการให้เนื้อที่ในสังคมกับพวกเขาในฐานะคนอย่างฮิคิโคโมริ ถ้ายอมรับคำนี้ก็อาจจะหมายความว่าไม่ต้องดิ้นรนหาที่อื่นให้ตัวเองอยู่ก็เป็นได้

- แต่หนังกับหนังสือนำเสนอ "สถานที่ปลอดภัย" ที่ถูกทำลายออกมาอย่างชัดเจนทั้งคู่ การทำลาย space/safe place ของตัวละครตัวใดตัวหนึ่ง ดูว่าหากถูกบีบ แต่ละคนจะพยายามอพยพตัวตน/จิตใจของตนไปอยู่ที่ไหน อะไรแบบนี้เป็นต้น (ว่าไปมันก็ดู Freudian ใช่น้อย เรื่องนี้มีประเด็น Oedipus complex ด้วยนะ อนึ่ง จะเรียกว่าเด็กชาย A และเด็กชาย B มีความดิ้นรนที่จะกลับไปสู่ครรภ์ของมารดาก็ว่าได้ แต่นั่นก็อีกประเด็นใหญ่ ๆ  อ่ะเอิ๊กส์)

- ถ้าเทียบกับหนังสือแล้ว หนังจะแสดงการเปรียบเทียบที่ชัดเจนกว่า เช่นเด็กชาย A นี่เป็นเด็กเก่งเด็กท็อป ส่วนเด็กชาย B นี่ทำอะไรก็ไม่ได้ดี ไม่มีใครสนใจ ไปเรียนกวดวิชายังไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ในขณะที่ในหนังสือเด็กชาย B พยายามแล้วทำได้ดีขึ้นพอสมควรเลย แต่สุดท้ายก็หมดไฟ ยอมแพ้ไป

- การเปรียบเทียบพวกนี้เป็นสไตล์ของการ characterisation ในหนังเลย จะมีทั้งฉากดนตรีที่ตัดไปสู่ความเงียบ น้ำตาที่ตัดไปความสดใส ความหวานกับความขม นมกับเลือด ความมืดกับแสงสว่าง ความเดียงสากับความไร้เดียงสา ความรักกับความว่างเปล่า ซึ่งสุดท้ายกลายเป็นเสน่ห์ที่น่าดึงดูดที่สุดอย่างหนึ่งของหนังเรื่องนี้

- จากการตีความของจขบ. ในหนังสือจะมีการเปรียบเทียบพวกนี้น้อยกว่า หลายสิ่งจะยังคงเป็นสีเทา ๆ  และไม่ค่อยสะท้อนถึงไอเดีย "ภายนอก vs. ตัวตนที่แท้จริง" ที่ในหนังนำเสนอเท่าไร แต่จะเน้นในเรื่องของการสื่อสารผิดพลาด ทั้งมุมมองของมนุษย์ หรือมุมมองที่นับว่ายังไม่ครอบคลุมของเด็ก (คือการเขียนความเป็นจูนิเบียวหรือมุมมองสุดโต่งให้สะท้อนหลายมุมได้ในเวลาเดียวกันนี่นับว่าเก่งนะ ประทับใจคนเขียนในจุดนี้) หรือวิธีที่มนุษย์เราเลือกที่จะคัดข้อมูลไหนออกเพื่อสร้างบทสรุปให้ตัวเอง มันก็เลยเป็นหนังสือที่นำเสนอหลายแง่มุม และสร้างความขัดแย้งในเรื่องออกมาได้ดี เพราะทำให้คนอ่านเห็นจากมุมของตัวละครแต่ละตัวได้ชัด และตระหนักรู้ไปพร้อม ๆ กันว่า "ที่ตัวละครนี้เห็นอยู่ ก็คือการหยั่งรู้ที่ไม่สมบูรณ์" ก็เลยนำมาซึ่งปัญหาและการเลือกปฏิเสธความคิดหรือความรู้สึกบางอย่างนั้นเอง (จะลากไปตีความปรัชญา "I think, therefore I am." ก็ได้)

- ธีมเด่น ๆ อีกธีมคือ "คุณค่าของชีวิต" แต่จขบ.ยังไม่ได้วิเคราะห์เรื่องนี้ในมุมนี้มากนัก กลับมองว่าแต่ละมุกของคนเขียนเป็นตลกร้ายที่แหย่เรื่องคุณค่าในชีวิตมากกว่า ส่วนใหญ่จขบ.ตีความว่าคนเขียนโยง judgement กับ value ให้ไปพร้อม ๆ กัน คุณค่าของชีวิตของคุณขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณเลือกจะทำ อะไรแบบนี้ :P

- บอกแล้วว่ารีวิวนี้ชิว ๆ  เขียนเพียงเท่านี้ล่ะ อ่ะเอิ๊กส์

Saturday 28 February 2015

[RP] Side Story 1: เริ่มต้นผจญภัย

Side Story of Shirley Southsea [EXPIV]
Characters: Iggy, Shirley
Special Thanks to: ผปค.อิกกี้ *โค้ง ๆ*






Side Story:



(1)

เริ่มต้นผจญภัย



เจ้าเชื่อว่าคนบนโลกนี้มีอยู่สองประเภท – คนแห่งแผ่นดินกับคนแห่งทะเล และมันไม่ได้เกี่ยวกันว่าคนเหล่านั้นต้องอยู่บนดินหรือบนทะเล มันเกี่ยวกับบุคลิก เกี่ยวกับท่าทาง เกี่ยวกับกลิ่นอายและสัมผัส เกี่ยวกับวิธีที่ชาวทะเลเดินบนดิน และวิธีที่ชาวบกร่ายรำบนทะเล ยากนักที่เจ้าจะบรรยายได้ว่าคนทั้งสองประเภทต่างกันอย่างไร เจ้าเพียงแต่ซึมซับ มันคือการก้าวไปสู่บทสรุปอย่างรวดเร็วเกินควร จนอาจเสียมารยาทต่อผู้อื่น แต่อย่างน้อยในคราแรกที่สนทนากับใคร... การสรุปเล็ก ๆ น้อย ๆ ว่าคนผู้นั้นเป็นชาวทะเลหรือชาวบกก็คงไม่ทำอันตรายอะไร—ไม่อันตรายกระมัง

อิกกี้เป็นคนแห่งทะเล

เจ้ามิได้คิดแบบนั้นตั้งแต่แรกเห็นเขาดอก และไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะเดินสายอาชีพของเขาอยู่บนทะเลด้วย เขาเพียงแต่ไม่มีลักษณะของคนที่จะเลือกแผ่นดินผืนเดียวเป็นของตัวเอง เขาดู... มีกลิ่นอายของชาวพเนจร

เจ้าพบอิกกี้เป็นครั้งแรกที่ร้านหนังสือ

เจ้าเดินอย่างระวังตอนเข้าไปตรงแผนกชั้นวางที่ค่อนข้างแคบ พยายามไม่ให้ขวานเล่มโตที่เหน็บไว้บนหลังโดนอะไร ก่อนจะหยิบหนังสือจากแผนกหนังสือเข้ามาใหม่ ระหว่างที่กำลังยืนเปิดอ่านอยู่นั้นเอง เจ้าก็เหลือบเห็นบุรุษแว่นตากลมคนหนึ่งเข้ามาในร้านจากหางตา ลักษณะเหมือนชาวลาเอล

—คนบนบกมีอยู่สองประเภทสำหรับเจ้า บนดินกับบนทราย เมื่อแรกเห็นเจ้านึกภาพว่าหากเขาเป็นชาวบก เขาก็คงเป็นคนบนทราย คงไม่เป็นไรหากจะชวนคุยคนบนทราย ใช่ว่าเจ้าจะพบชาวลาเอลที่ให้กลิ่นอายของทะเลทรายบ่อยนัก

เจ้าเอ่ยถึงหนังสือออกใหม่ในมือเจ้า คุยไปเพียงครู่เดียวเจ้าก็เริ่มหาข้อสนทนาไปเรื่อย “ท่านชอบอ่านหนังสือแนวใดฤา”

“นิยาย บทกวี วิชาการ ประวัติศาสตร์ อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เรื่องลี้ลับ มันไร้สาระ” เขาตอบ เปิดผ่านหน้าหนังสือในมือ ก่อนจะเก็บมันเข้าชั้นแล้วหยิบเล่มใหม่มา

“ข้าก็ไม่ชอบเรื่องลี้ลับเป็นพิเศษเหมือนกัน แต่กำลังอยู่ในช่วงที่อยากอ่านบทกวี... ท่านเป็นคนในเมืองนี้หรือ” เจ้าถาม

“อ้อ เปล่า ข้าแค่คนทำธุรกิจที่ผ่านมา” ชายสวมแว่นที่ดูคล้ายจะมาจากทะเลทรายนั้นปิดหนังสือลง ก่อนจะหันมามองหน้าเจ้า พลางว่า “เดี๋ยวข้าก็ไปแล้ว”

ไม่ใช่คนของซิมาฟ? นักเดินทาง?

เจ้าแสดงอาการสนอกสนใจ “ธุรกิจแบบที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป อะไรแบบนั้นหรือ ท่านอยู่ระหว่างการเดินทาง?”

“ถามมากจังนะนี่? ไม่เห็นเหรอว่าข้าเลือกของอยู่”

อา ขออภัย ข้าเพียงแต่กำลังหางานใหม่อยู่น่ะ อยากเดินทางด้วย” เจ้าหันหลังไปเลือกหนังสือต่อ ส่งผลให้ขวานฟาดขาอีกคนโดยไม่ทันตั้งใจ

"เฮ้ย! ระวังหน่อยสิวะ!"

เจ้ากระโดดสั้น ๆ ถอยออกมา “โอ๊ะไม่ทันเห็น เจ้านี่มันเทอะทะหน่อย แต่ข้าก็ขาดมันไม่ค่อยได้ เดี๋ยวจะรู้สึกว่าหลังโล่ง ๆ ไปหน่อย”

เขาจิ๊ปากก่อนจะหันไปเลือกหนังสือต่อ พวกเจ้าเงียบกันไปพักใหญ่ ก่อนจะได้เอ่ยปากคุยกันอีกครั้งระหว่างที่กำลังเดินออกจากร้านหนังสือ

“ซื้ออะไรน่ะ” เขาถาม พลางมองของในมือเจ้า

“หนังสือกวีเล่มหนึ่ง กับหนังสือที่พูดถึงเมื่อกี้ แล้วก็แผนที่ อันเก่าของข้ามันหลายปีมาแล้วเหมือนกันน่ะ ท่านล่ะซื้ออะไรบ้าง

"ประวัติศาสตร์" เขาตอบ แล้วหยิบหนังสือในมือเล่มแรก เล่มสอง—"ประวัติศาสตร์" และเล่มสาม—"ประวัติศาสตร์"—ขึ้นมาให้ดูจนครบ ก่อนจะเอ่ยถามว่า “ทำไมถึงพกขวานเล่มใหญ่ขนาดนี้? มันไม่เกะกะรึ

ตาเจ้าเคลื่อนมองตามหนังสือ “ก็เกะกะบ้าง แต่ข้าถนัดใช้ไปแล้ว อาวุธแบบนี้พอเอามาฝึกเหวี่ยงจนไม่มีปัญหาเรื่องความเร็วแล้วก็ใช้ได้ดีเยี่ยมถ้าสมมุติเจอกรณีที่โดนคนกลุ่มใหญ่หาเรื่อง หรือไปหาเรื่องกับเขา” เจ้าหลุดขำเล็กน้อย

ดูเหมือนว่าบางอย่างในคำตอบนั้นจะเพียงพอแก่การนำพาให้เขาเอ่ยชวนเจ้าไปคุยต่อกันที่อื่น ซึ่งเจ้าก็ตอบตกลงอย่างยินดี—เจ้าเบื่อหน่ายกับกิจกรรมอื่นในชีวิตประจำวันมานานเกินพอแล้ว การคุยกับคนแปลกหน้าและหน้าแปลกนับเป็นความคิดที่ดี

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใส่ใจจะผูกมิตรกับเจ้า เพียงแต่ต้องการตัดพูดประเด็นอะไรก็ตามที่เขาคิดว่าจำเป็นเสียให้จบ ๆ  ครั้นสาวเท้าไปถึงตัวเมือง เขาก็ถามขึ้นว่า “เจ้าบอกว่ากำลังหางานอยู่ อยากได้งานแบบไหนรึ"

เจ้าเร่งฝีเท้าให้เดินเคียงข้างในระดับเดียวกันกับเขา ความเงียบเข้าแทรกระหว่างพวกเจ้าครู่หนึ่ง “ข้าอยากกลับสู่ทะเลอีก จะเป็นเนื้องานใดก็คงปรับตัวได้”

เขาส่งเสียงอืมในลำคอ “เจ้าเคยออกทะเลมาก่อน? กี่ปี? ทำงานตำแหน่งอะไรและให้ใคร?" เขาถามพลางเปิดหนังสือประวัติบุคคลสำคัญอ่านไปด้วย

เป็นอีกครั้งที่สายตาเจ้าเลื่อนไปตามหนังสือในมือของเขา “ถ้าพูดถึงช่วงที่เคยออกทะเลก็ 18 ปี” เจ้าตอบ “แต่ถ้าหมายถึงช่วงทำงานก็เป็นลูกเรือธรรมดามาเพียงแปดปีเท่านั้นแล” เจ้าเห็นเขาเปิดพลิกหน้ากระดาษไปเจอรูปชายหนวดเฟิ้ม ก่อนจะเบนสายตาไปมองหนทางข้างหน้าเมื่อตระหนักว่าอาจกำลังจ้องหนังสือในมือของเขานานเกินไป “ท่านทำงานที่ต้องออกทะเลอยู่หรือ

"เจ้าตอบคำถามข้าให้ครบก่อนดีไหม"

ริมฝีปากเจ้ากระตุกยิ้ม เหลือบมองวิธีที่เขาอ่านหนังสือ นัยน์ตาของเขาเคลื่อนผ่านตัวหนังสือไปโดยใช้เวลาไม่นาน ก่อนที่มือของเขาจะพลิกไปหน้าถัดไป ดูเหมือนเขากำลังอ่านคร่าว ๆ อย่างรวดเร็ว

เจ้าพอจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับบุรุษผู้นี้ได้ ดังนี้:
1.      เขาคนนี้เป็นนักอ่าน และอ่านมามากเพียงพอที่จะเชี่ยวชาญการอ่านเร็ว
2.      ไม่ชอบให้คนผูกมิตร ไม่ไยดีการตีสนิท แต่ดูเหมือนจะพูดในสิ่งที่จำเป็นต้องพูด ทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำ

“ข้าเคยอยู่อาศัยอยู่บนเรือโดยสารสิบสองปี” เจ้าเอ่ยตอบ “เป็นลูกเลี้ยงกัปตันน่ะ เส้นทางก็ไป ๆ กลับ ๆ แถว ๆ น่านน้ำที่สามถึงน่านน้ำที่หก แล้วออกมาท่องบนบกพักใหญ่ ก่อนจะได้ทำงานให้กัปตันแห่งเรือพาณิชย์ที่เน้นเดินทางไปกลับช่วงน่านน้ำที่หนึ่งกับที่หกนี่ล่ะ ท่านที่เป็นทั้งกัปตันและพ่อค้าที่ข้าทำงานให้ชื่อว่าคามิลเลียส เรือของเขามีนามเดียวกัน”

"เรือคามิลเลียส เคยได้ยินชื่อเหมือนกันแฮะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่แล้ว เกิดอะไรขึ้นกับเรือลำนั้น

3.      หูตาของเขาดูจะกว้างไกล ความทรงจำของเขาอาจจะดี

“พายุเข้า เรือล่ม—พวกเราก็รอดมาได้ส่วนหนึ่ง ธุรกิจของท่านคามิลเลียสสืบต่อไปในนามอื่น ท่านเคยได้ยินมาเพียงนามเรือ? คงไม่เคยได้ยินถึงผู้ที่เคยเป็นสมาชิกเรือนั้นเท่าใดนัก?”

“อา... ไม่... เจ้าดูผิดหวังนะ? ข้าขอโทษด้วย เจ้ารอดมางั้นสิ ทั้ง ๆ ที่เจอพายุจนเรือล่มมายังจะคิดกลับไปอีกงั้นหรือ?"

4.      เขาก็มีจังหวะที่สามารถพูดอะไรด้วยน้ำเสียงสัตย์จริงและทีท่าจริงใจได้อยู่เหมือนกัน

“แน่นอน”—เจ้าชี้ไปที่สุดถนนฝั่งโน้น—“ทุกครั้งที่ข้าอยู่บนดิน ข้ามองตรงไปแล้วพบว่าที่นี่ไม่มีอะไรให้ข้า ข้าไม่ต้องการแผ่นดินเป็นของตัวเองหรืออิสตรีที่จะตั้งรกรากด้วยกัน”—หัวเราะเฝื่อน ๆ—“ทางเท้าพาข้าไปไม่ไกลเท่าทะเล”

เขาส่งเสียงในลำคอเป็นเชิงรับรู้ระคนครุ่นคิดพิจารณา ก่อนจะปิดหนังสือแล้วหันมาหาเจ้า "ทุกอย่างที่เจ้าว่ามา" เขาชี้ไปทางสุดถนนฝั่งโน้น แล้วชี้กลับมาที่เจ้า “ข้าเข้าใจละ ทีนี้สามข้อที่จะทำให้เจ้าได้งาน: 1. เชื่อฟังกฎ 2. ศีลธรรมต่ำกว่าคนทั่วไป... ลักขโมยจี้ปล้นฆาตรกรรมหมู่ 3. ซื่อสัตย์ต่อกัปตันเรือ เจ้าทำได้ไหม" เขาว่าขณะนับนิ้วให้เจ้าดูไปพลาง ในขณะที่เจ้าพยายามนับสิ่งที่อยู่ในหัวของเจ้าเอง

5.      เขาดูเหมือนจะมีวิถีชีวิตที่ไม่จำกัดขอบเขตเรื่องศีลธรรม
6.      เขาเป็นโจรสลัด

เจ้าตอบอย่างไม่ลังเลว่าเชื่อว่าตนทำได้ ด้วยปรารถนาจะออกทะเลใจจะขาด โดยไม่ว่าอะไรหากจะไปเรียนรู้รายละเอียดเอาทีหลัง มันก็เสี่ยงอยู่—มิใช่ว่าเขาไม่ดูอันตราย แต่เจ้าก็มิใส่ใจความปลอดภัยของตนนัก ซ้ำยังพ่ายต่อความใคร่รู้เรื่อยไป อย่างน้อยก็ยังมิมีสิ่งใดเกี่ยวกับชายผู้นี้ที่ไม่ชวนติดตามมิใช่หรือ เจ้าถามเขาเรื่องกฎเพิ่มเติม ในท้ายที่สุดเขาก็สรุปว่าจะชี้แจ้งเรื่องกฎทั้งหมดให้ในภายหลัง (หากเจ้าได้เป็นลูกเรือล่ะก็ – เขาก็ไม่ได้เอ่ยออกมาตามตรง แต่มันก็แฝงอยู่ในบทสนทนา) เขาแนะนำตัวกับเจ้าในฐานะรองกัปตัน

7.      เขาเป็นทั้งผู้ตาม และผู้นำ

เจ้าก็อดไม่ได้ที่จะวกกลับมาตั้งข้อสังเกตที่เขาใช้คำว่า ซื่อสัตย์กับกฎข้อที่สาม แต่แล้ว—

“มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเรือเราเป็นวัดลอยน้ำลูกเรือทั้งลำเป็นฆราวาสถึงจะต้องคู่ควรกับค่ำว่าซื่อสัตย์” เขาตอกเจ้ากลับอย่างหงุดหงิด “หัวหน้าก็คือหัวหน้า คือผู้นำ... แค่นั้นก็พอ เจ้าต้องพร้อมรับใช้เขา นั่นคือสิ่งที่สำคัญ”

8.      เขาเห็นว่าความพร้อมในการรับใช้เป็นสิ่งสำคัญ
9.      เขามาจากเรือที่มีการมอบความซื่อสัตย์ให้กับผู้บังคับบัญชาสูงสุด
10.  อย่างน้อย ตัวเขาเองก็ท่าจะให้ความสำคัญกับการมอบความซื่อสัตย์ให้กับกัปตันเรือ
11.  กัปตันเรือของเขาอาจมีบางอย่างที่ควรค่าแก่การมอบความซื่อสัตย์ให้

ข้าไม่ได้คิดว่ามันไม่คู่ควร แต่มันมีเรือมากมายที่ลูกน้องถูกกดขี่ให้จำยอมโดยไม่จำเป็นต้องมีความซื่อสัตย์” เจ้าหัวเราะแผ่วเบา “เอาล่ะ เอาเป็นว่าข้าพร้อมก็แล้วกัน” เจ้าผิวปากหวิว “รู้สึกอย่างกับไม่ได้รับใช้คนอื่นมานานแล้วแฮะ

“ชอบรับใช้หรือ ก็ดีนะ” เขาพยักหน้า “ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรนะ

12.  เขาถามชื่อเป็นอย่างสุดท้าย เจ้ามองว่านั่นคือลักษณะของการไม่ผูกติด
13.  เจ้ามองว่า เขามีแนวทางการร่ายรำบนทะเลอย่างมีอิสระ

เชิร์ล—” ควรบอกชื่อเต็มไหม “เชอร์ลีย์ เซาธ์ซี” ก็ใช่ว่าเจ้าจะมีชื่ออยู่ในรายชื่อราษฎร มันก็เป็นเพียงตัวตนลอย ๆ  “แล้วแต่ท่านจะเรียก... ท่านล่ะ—อ้อ แล้ว—นามของกัปตันท่านเล่า”

ข้าอิกกี้ ส่วนกัปตันของข้า... ชื่อเดรญ่า จามาล”

14.  อิกกี้มีบางอย่างที่ชวนให้นึกถึงทะเลทราย แต่ไม่แห้งแล้งเท่า
15.  อิกกี้เป็นคนแห่งทะเล
16.  เดรญ่า—จากชื่อเสียงกระฉ่อนแห่งดูมดอว์นแล้ว—เขาเป็นเสมือนพายุอันโกรธกริ้ว พายุแห่งอำนาจ และอิกกี้ก็ติดตามพายุแห่งความโกรธาและอำนาจ

เจ้าชะงักฝีเท้า กะพริบตาปริบ “เดรญ่าผู้นั้นน่ะหรือ” เจ้าฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว พลางโค้งสวย ๆ ให้โดยเลียนแบบท่าของสตรีผู้ดี “ฝากตัวด้วยแล้วกัน อิกกี้

อิกกี้หลุดขำออกมานิดหน่อย "ทะลึ่งนักเชอร์ลีย์ ข้าจะออกเดินทางพรุ่งนี้แล้ว เจ้ามีเวลาเก็บของหนึ่งคืน ขอโทษที่ต้องรวบรัด"

17.  โอ้ เขาหัวเราะได้
18.  และขอโทษได้ด้วย

โอ ข้าสามารถทะลึ่งกว่านี้มาก” เจ้าไหวไหล่ รอยยิ้มขำระบายอยู่บนใบหน้า

พวกเจ้านัดเวลาและสถานที่จะพบกันในวันถัดไปคร่าว ๆ  ก่อนที่อิกกี้ก็สรุปว่า “ข้าจะพาเจ้าไปพบกัปตันพรุ่งนี้ แต่เจ้าจะได้ขึ้นเรือไหมก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาชอบเจ้าหรือเปล่า เพราะงั้นทำตัวดี ๆ ล่ะ”

“โอ๊ะโอ่...  ย่อมได้ ข้าจะเตรียมใจรอดูผลแล้วกัน พบกันก่อนเที่ยงยาม ว่าแต่—จะมีคำใบ้ให้ไหมขอรับว่าท่านเดรญ่าชอบคนทำตัวแบบใด ท่านรองกัปตัน

“ดูจากข้าแล้วเจ้าคิดว่าเขาเป็นคนแบบไหนล่ะ" อิกกี้หัวเราะหึ ๆ  “อีกอย่างเขาเป็นคนเลี้ยงข้ามาตั้งแต่สิบขวบก็ว่าได้”

19.  อิกกี้เป็นบุรุษผู้โชคดี

เจ้ากลั้วหัวเราะ “คนขี้หงุดหงิดแต่มีแววน่าค้นหากระมัง... ท่านโชคดีที่ได้อยู่ซื่อสัตย์กับใครมานานขนาดนั้น” ว่าแล้วก็กระแอมเล็กน้อย “ย่อมได้ ข้าจะลองเป็นในแบบที่คิดว่าท่านเดรญ่าอาจจะชอบแล้วกัน”

“ถ้าเจ้าโชคดีเจ้าก็จะได้อยู่นานโดยที่ไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับเจ้าหรือเรือเช่นกัน”

20.  เขามองเห็นความเป็นไปได้ในแง่ร้าย ซึ่งก็ดี ดีแล้ว



The End.